30 ตุลาคม 67 สภากรุงเทพมหานคร มีมติผ่านร่างข้อบัญญัติใหม่ ปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมเก็บขยะสำหรับบ้านที่ไม่คัดแยกขยะ เป็นเดือนละ 60 บาท บ้านที่แยกจ่าย 20 บาท เริ่มบังคับใช้ในอีก 180 วัน
โดยกทม. จะแบ่งค่าเก็บและกำจัดออกได้เป็น
- กลุ่ม 1 เช่น บ้านเรือน หากมีการทิ้งขยะไม่เกิน 20 ลิตรต่อวัน ค่าเก็บและขน เดือนละ 30 บาท ค่ากำจัด 30 บาท รวม 60 บาท
- กลุ่ม 2 เช่น พวกร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ หากขยะเกิน 20 ลิตร แต่ไม่เกิน 1 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ค่าเก็บและขน 60 บาท/20 ลิตร ค่ากำจัด 60 บาท/20 ลิตร รวม 120 บาท/20 ลิตร
- กลุ่ม 3 เช่น พวกห้าง ตลาด โรงแรม สถานประกอบการ หากขยะเกิน 1 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ค่าเก็บและขน 3,250 บาท/1 ลบ.ม. ค่ากำจัด 4,750 บาท/1 ลบ.ม. รวม 8,000 บาท/1 ลบ.ม.
แต่ถ้าบ้านไหนแยกขยะจะเสียค่าธรรมเนียม 20 บาทต่อเดือนตามเดิมได้ โดยต้องลงทะเบียนเพื่อลดหย่อนค่าธรรมเนียม
นายพรพรหม ณ.ส. วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืนกรุงเทพมหานคร เผยในเฟสบุ๊กว่า ที่ผ่านมา กทม.ใช้อัตราค่าเก็บขยะที่มีมาตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน และโพสต์ว่า “ท่านต้องการที่จะลดค่าธรรมเนียม ท่านก็สามารถทำได้ถ้ามีการแยกขยะไปใช้ประโยชน์ ซึ่งจะทำให้ลดปริมาณขยะที่จะทิ้งให้กับกทม.”
และนายพรพรหม ณ.ส. วิกิตเศรษฐ์ ก็ได้ตอบข้อที่คนสงสัยว่า จะมีการลดหย่อนสำหรับบ้านที่แยกขยะจริงไหม? โดยนายพรหรหมโพสต์ว่า
สำหรับกลุ่มที่ 1 กทม.จะเปิดให้บ้านที่แยกขยะสามารถลงทะเบียนเพื่อลดหย่อนค่าธรรมเนียมกลับมาเป็น 20 บาท/เดือนได้ (จาก 60 บาท/เดือน)
มาตรการนี้นับว่าเป็น game changer อันสำคัญในมิติของการส่งเสริมให้ภาคครัวเรือนแยกขยะ
ที่ผ่านมาเราทำได้แค่ “ส่งเสริม” “ขอความร่วมมือ” “สมัครใจ” ซึ่งก็ดีแต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่พอ ถ้าคนทำดีก็ดีไป แต่คนส่วนใหญ่ที่ไม่สนใจ เราก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ก็ต้องปล่อยไปตามเดิม
มาตรการนี้เป็นครั้งแรกที่จะมีการใช้ “กลไกทางเศรษฐศาสตร์” เข้ามาช่วยในการส่งเสริมให้ประชาชนมีการแยกขยะ เป็นแรงจูงใจให้คนอยากแยกเพราะเนื่องจากประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม ยังสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ด้วย ส่วนถ้าไม่แยกก็จ่ายอัตราเต็มไป”
หลังจากนี้ กทม. จะต้องสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจอีกเรื่อยๆ ก่อนบังคับใช้จริง และเปิดให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน และเจ้าหน้าที่จะลงไปตรวจสอบ เพื่อยืนยันว่ามีการคัดแยกขยะจริง
ที่มา Environman และ Pornphrom Vikitsreth