ข้ามไปยังเนื้อหา

Turnkey หรือ 
Private PPA?

Turnkey หรือ 
Private PPA?

แบบที่ 1: Turnkey ติดเอง จ่ายเอง

“Turnkey” หมายถึง การติดตั้งระบบโดยผู้เชี่ยวชาญครบวงจร ตั้งแต่สำรวจ ออกแบบ ติดตั้ง ไปจนถึงดูแลหลังการขาย โดยผู้ประกอบการ เป็นเจ้าของระบบ เองทั้งหมด

ข้อดี:

  • ประหยัดค่าไฟได้เต็มที่ (ไม่ต้องแบ่งผลประโยชน์กับใคร)
  • ควบคุมระบบและทรัพย์สินทั้งหมดได้เอง
  • คุ้มทุนเร็ว (เฉลี่ย 5–7 ปี)

ข้อควรพิจารณา:

  • ต้องมีงบประมาณก้อนใหญ่ในการลงทุน
  • ต้องดูแลระบบเอง หรือจ้างบริษัทดูแลระยะยาว

แบบที่ 2: Private PPA ให้เอกชนลงทุนให้

“PPA” ย่อมาจาก Power Purchase Agreement หมายถึง การทำสัญญา ซื้อไฟฟ้ากับผู้ให้บริการที่ติดตั้งระบบให้โดยธุรกิจไม่ต้องลงทุนเอง และจ่าย เฉพาะค่าไฟที่ใช้งานจริง ซึ่งจะราคาถูกกว่าซื้อกับทางการไฟฟ้า

ข้อดี:

  • ไม่ต้องใช้เงินลงทุนล่วงหน้า
  • ได้ใช้ไฟราคาถูกกว่าการไฟฟ้า
  • ไม่ต้องรับผิดชอบการดูแลระบบ

ข้อควรพิจารณา:

  • ต้องผูกพันกับสัญญาระยะยาว (10–20 ปี)
  • ไม่สามารถย้ายระบบได้หากเปลี่ยนสถานที่
  • ประหยัดได้น้อยกว่าการติดเอง (เพราะต้องแบ่งผลตอบแทนกับผู้ลงทุน)

ตารางเปรียบเทียบ Turnkey vs PPA

รายการเปรียบเทียบ ลงทุนเอง (EPC / Turnkey) เช่าระบบ (Private PPA)
รูปแบบการลงทุน เจ้าของกิจการลงทุนเอง ผู้ให้บริการลงทุนระบบให้ทั้งหมด
เจ้าของระบบ เจ้าของกิจการ (บริษัท/โรงงาน) ผู้ให้บริการระบบ (ผู้ขายไฟฟ้า)
ต้นทุนเริ่มต้น สูง เช่น 20-25 ล้านบาท/ 1 MW ต่ำหรือไม่มีต้นทุนเริ่มต้น
ผลประหยัดไฟ ได้เต็ม 100% ได้ส่วนต่างจากค่าไฟ เช่น ประหยัด 20-40%
ระยะเวลาคืนทุน 4-7 ปี ไม่เกี่ยวข้อง (จ่ายค่าไฟตามจริงที่ตกลงไว้)
สิทธิประโยชน์
ทางภาษี(BOI) ใช้ได้ (ลดหย่อนภาษี, ยกเว้นภาษีนำเข้า อุปกรณ์) ผู้ให้บริการเป็นผู้รับสิทธิ BOI
สัญญาผูกพัน ไม่มี มีข้อผูกพันตามสัญญา 10 – 20 ปี
การควบคุมระบบ ควบคุมเองได้เต็มที่ จำกัด (ต้องทำตามสัญญา)
การดูแลบำรุงรักษา ต้องดูแลเอง หรือจ้างผู้รับเหมารายปี ผู้ให้บริการดูแลทั้งหมด
เหมาะกับใคร ธุรกิจที่พร้อมลงทุน ต้องการควบคุมระบบ
และได้ผลประหยัดไฟเต็มที่
ธุรกิจที่ไม่ต้องการลงทุนสูง แต่อยากลด
ค่าไฟทันที

สรุป

  • หากคุณมีงบ และอยากประหยัดเต็มที่ ควรเลือก Turnkey
  • หากคุณไม่อยากลงทุนล่วงหน้า และรับสัญญาระยะยาวได้ ควรเลือก PPA

ตรวจสอบสัญญา Private PPA

ราคาค่าไฟที่ต้องชำระให้ผู้ขายไฟ

  • อัตราค่าไฟที่เสนอควรต่ำกว่าค่าไฟจากการไฟฟ้า
  • ตรวจสอบว่าอัตราค่าไฟเป็น ราคาคงที่ หรือ ลอยตัว และผูกกับปัจจัยใด (เช่น FT, CPI)

ระยะเวลาสัญญา

  • โดยทั่วไปสัญญามีระยะยาว เช่น 15–20 ปี
  • ควรพิจารณาว่าระยะเวลานี้สอดคล้องกับแผนธุรกิจของเราหรือไม่

ปริมาณการใช้ไฟขั้นต่ำ (Minimum Offtake)

  • บางสัญญากำหนดให้เราต้องใช้ไฟไม่ต่ำกว่าที่ตกลง
  • หากใช้ไฟไม่ถึง อาจมี ค่าปรับหรือค่าชดเชย ตามสัดส่วนไฟที่ไม่ได้ใช้

เงื่อนไขการบำรุงรักษาและความรับผิดชอบ

  • ผู้ขายไฟต้องเป็นผู้ดูแลระบบทั้งหมด
  • แต่ผู้ใช้ไฟควรขอสิทธิในการตรวจสอบหรือร่วมตรวจประสิทธิภาพระบบได้
  • ระบุเงื่อนไขในกรณีที่ระบบมีปัญหา หรือไม่สามารถผลิตไฟได้ตามที่ตกลง

สิทธิในการต่ออายุ / ยกเลิกสัญญา

  • พิจารณาว่าสัญญาอนุญาตให้ ต่ออายุ หรือยกเลิก ได้อย่างไร
  • มีค่าธรรมเนียมหรือเงื่อนไขการเลิกสัญญาก่อนกำหนดหรือไม่

สิทธิในระบบหลังหมดสัญญา

  • ระบบโซลาร์จะตกเป็นของใครหลังครบอายุสัญญา
  • ผู้ใช้ไฟสามารถเป็นเจ้าของระบบได้หรือไม่