ลองดูตัวอย่างนี้

สมมุติว่าคุณติดตั้งระบบโซลาร์ขนาดใหญ่ 1 เมกะวัตต์ (เทียบเท่าโรงงานหรืออาคารใหญ่):

ตัวเลขเป็นเพียงตัวอย่าง ควรปรับตามขนาดระบบจริงและค่าไฟของแต่ละธุรกิจ

1. ชาร์จไฟตอนถูก ใช้ตอนแพง

แบตเตอรี่จะชาร์จไฟในช่วงที่ค่าไฟถูก เช่นกลางคืน แล้วนำมาใช้ตอนกลางวันที่ค่าไฟแพงกว่า
→ ประหยัดได้ประมาณ 450,000 บาทต่อปี ต่อแบตเตอรี่ขนาด 1 MWh
→ แต่ใช้เวลาคืนทุนค่อนข้างนาน ประมาณ 25–30 ปี

2. ลดพีคดีมานด์

ถ้าโรงงานของคุณมีการใช้ไฟสูงมากในช่วงเวลาสั้น ๆ ทุกวัน การไฟฟ้าจะคิดค่าไฟเพิ่มในช่วงนั้น แบตเตอรี่สามารถช่วยจ่าย ไฟแทน เพื่อลดภาระค่าไฟในช่วงพีค
→ ประหยัดได้ถึง 700,000 บาทต่อปี
→ คืนทุนในระยะ 15–20 ปี

3. สำรองไฟยามฉุกเฉิน

หากเกิดเหตุไฟดับกะทันหัน แบตเตอรี่สามารถจ่ายไฟให้เครื่องจักรหรือระบบสำคัญได้ทันที
→ ลดความเสียหายหรือโอกาสที่ธุรกิจจะหยุดชะงัก
→ เน้นความปลอดภัยมากกว่าความคุ้มทุน

4. เก็บไฟส่วนเกินจากโซลาร์

ในบางวัน ระบบโซลาร์อาจผลิตไฟเกินจากที่ใช้จริง หากไม่มีแบต ไฟส่วนนี้จะสูญเปล่า การมีแบตช่วยเก็บพลังงานไว้ใช้ ตอนเย็นหรือกลางคืน
→ คุ้มค่าหรือไม่ขึ้นอยู่กับปริมาณไฟส่วนเกิน และขนาดแบต
→ ระยะเวลาคืนทุนประมาณ 7–20 ปี

การเสื่อมของระบบ

• แผงโซลาร์ไม่ได้อยู่ในสภาพ 100% ตลอดไป โดยทั่วไปประสิทธิภาพลดลงเฉลี่ย ปีละ 0.5–1%
• อินเวอร์เตอร์มีอายุใช้งานราว 10–15 ปี อาจต้องเปลี่ยน
• ถ้ามีแบตเตอรี่ ต้องคำนวณค่าเสื่อมและค่าทดแทนไว้ล่วงหน้า

การติดตั้งระบบโซลาร์ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่เข้าข่าย “การปรับปรุงประสิทธิภาพ” ของธุรกิจ ซึ่งสามารถเข้าร่วมมาตรการ ส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ได้ โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ดังนี้:

สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ:

• ยกเว้นภาษีนำเข้า สำหรับอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบ เช่น แผงโซลาร์ อินเวอร์เตอร์ ฯลฯ
• ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี มูลค่าสิทธิที่ยกเว้น = 50% ของเงินลงทุน

ตัวอย่าง:

หากติดตั้งระบบโซลาร์ขนาด 1 MW มูลค่าการลงทุน 20 ล้านบาท

• จะสามารถนำ 10 ล้านบาท (50% ของเงินลงทุน) ไปหักภาษีได้
• ภายใน 3 ปีแรกจะ เหมือนมีรายได้เพิ่มขึ้น 10 ล้านบาทเพราะไม่ต้องจ่ายภาษีส่วนนั้น